วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมื่อเข้าใกล้เลข 3 กับการเริ่มเรียนที่จริงจัง

สมัยก่อนตอนเด็ก ผมเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสนใจเรียนเท่าไร แต่ยังดีที่ไม่ไปผิดทิศผิดทาง ครูเคยบอกกับแม่ว่าผมเป็นเด็กดี ไม่เกเร แต่มีปัญหาเรื่องการเรียน ผมก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกันว่าทำ ถึงไม่ตั้งใจเรียนตอนเด็กๆ เพราะรู้สึกไม่สนุก เรียนไปทำไม รับความกดดันไม่ได้ เล่นเกมสนุกกว่า ไปที่โรงเรียนก็เหมือนเป้นส่วนเกินในห้องเรียน โดนตีทุกวันเพราะไม่ทำการบ้าน เรียนก็ได้ 1 กว่า จำได้ว่าไม่เคยได้ เกรดเฉลียเกิน 2 เลยตอน ม.ปลาย อาจจะ ม.ต้นด้วย ผมเป็นจำพวกเมื่อถึงวันที่สมุดพกออก ก็รีบเอาไปซ่อน ไม่ยอมให้พ่อแม่ดู อาจเพราะกลัวถูกดุ โดนกดดัน ลูกเพื่อนแม่ ก็มีแต่เก่งๆ สอบได้โรงเรียนดีๆ เรียนหมอ เรียนวิศวะ ส่วนผม ลายมือก็ไม่สวย โดนอาจารย์ด่าตลอด คิดไปคิดมา ก็เป้นเรื่องแปลกเหมือนกัน ที่โตขึ้นมา ผมกลับชอบการเรียนรู้อะไร มากกว่า

ตอนเด็กๆ เคยฝันว่าอยากเป้น นักวิทยาศาสตร์ จำได้ว่าเพื่อนก็ ฮือฮากันทั้งห้อง แต่อย่างน้อยก็ได้จบคณะเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีคนบอกว่าเป้นวิทยาศาสตร์ที่สุดในสายสังคม และอื่นๆ อีกมากมาย
แต่ความทรงจำเดียวที่ผมยังจำได้และฝังใจจากเด็กจนถึงปัจจุบันนี้ ผมไม่ชอบเรียนในห้องเรียนแต่ผมชอบเรียนไรที่รู้แล้วเข้าใจ และเอาไปใช้ได้

ผมไม่คิดว่าครูอาจารย์สมัยก่อนหรอกนะครับ เพราะในความเป้นอาจารย์เป้นอาชีพที่เครียดมาก โดยเฉพาะถ้าเจอเด็กเชี้ยๆจำนวนมาก ซึ่งผมก็อยู่ห้องแนวนั้นเกือบตลอด แต่การด่าเด็กแรงๆ สาปแช่งเด็ก ขู่เด็กให้กลัว อาจเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสม เพราะเด็กแต่ละคนนั้นมีการมองโลกไม่เห็นกัน เด็กบ้างคนบ้างก็มีปัญหาจริงๆ ทำให้ทัศนะคติเด็กมีปัญหาตามไปด้วย

แต่อาจารย์ก็ไม่สามารถปรับวิธีการสอนให้เหมาะได้ เพราะเด็กมันมีมากในแต่ละห้อง

ผมจำอาจารย์ ศิริพนอ ที่โรงเรียนโยธินได้ ตอนผมอยู่ ม.6 แกเป็นอาจารย์ชื่อเสียงว่าสอนดีในวิชาภาษาอังกฤษ แต่กลับเลือกห้องผมที่เป็นห้องคัด(ที่เกรดไม่ดี)มาแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจกับการสอนแก ที่แปลกมาก เรียนในโรงเรียนมา 12 ปี ไม่เคยเจอใครสอนเยี่ยงนี้มาก่อน คือการ ไม่สอนตามหนังสือ แต่แทบจะสอนเริ่มต้นกันใหม่หมด เกือบตั้งแต่ a b c รวมไปถึง หลักการแปล หลักการทำโทษแปลกๆ เช่น ให้คัดลายมือเป็นเลคเชอร์ของแก 4-5 รอบ (น่าเสียดายที่ผมทำหายไปละ) ผมว่าอาจารย์แกเป้นคนไทยที่สอนภาษาอังกฤษให้คนไทยได้ีดีที่สุด แม้ผมจะไม่เก่งภาษาอังกฤษในเวลานั้นทันที ซึ่งการจะพูดได้ก็ตอนอยู่ ปี 3 ม.กรุงเทพ กว่าจะพูดคล่องก็ตอนเรียนเกาหลี กว่าจะอ่านภาษาอังกฤษได้ชำนาญก็ตอนทำวิจัยตอนปริญญาโท นับแล้ว 10 ปีพอดี กว่าจะได้ขั้นนี้ แต่สิ่งที่เป็นกำลังใจได้ตลอด คือ อาจารย์พนอ เนี่ยละครับ ดุบ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง แต่ของพวกนี้ ไม่ใช่การว่าเด็กแบบเสียๆหายๆ แต่เป้นการว่าด้วยความหวังดี ซึ่งผมก็มีอาจารย์ให้ลักษณะนี้หลายคน แต่ในขณะเดียวกัน อาจารย์ที่ว่าเด็กด้วยความสะใจ มันส์ปาก ลงโทษแบบไม่ดีก็มี เหมือนกัน

สิ่งนั้นคือการสอนที่ดีนะครับ

แต่ที่มีปํญหาคือ การเรียน แล้วไม่สามารถให้เด็กมันเห็นประโยชน์ได้ว่าเรียนทำไม จนปัจจุบันเพือ่นผมหลายคนก็เป็นอย่างนี้ เรียนทำไม จบแล้วไม่ได้ใช้ บ้างครั้งผมก็อยากถามกลับเหมือนกัน ว่าเรียนแบบไหน ถึงจบไปแล้วใช้งานไม่ได้ ผมเรียนเศรษฐศาสตร์มา ยอมรับครับว่าเรียนก็ยากแล้ว แต่งานยิ่งหายากใหญ่ การเรียนถ้าเราไม่ได้จับต้องมัน ใช้มัน 3 เดือนก็ลืมหมดแล้วครับ ไม่วา่คุณจะเรียนไรมา ฝึกมาหนักแค่ไหหน แต่ถ้าไม่ใช้ ก็ลืม ปัจจุบัน มีเยอะครับ ที่ทำงานไม่ตรงสาย เพราะงานมันหายากมาก รูปแบบการทำงานก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว งานเฉพาะทางเนี่ย ต้องม่าเรียนรู้กันต่อ ฝึกฝนกันต่อ หาผู้รู้เป้น อาจารย์ ที่ปรึกษาที่ดีในการเรียน

ปัญหาต่อมา ระหว่างคนเรียนเก่ง กับ คนเรียนไม่เก่ง คือ พื่นฐานครับ ผมจบมาก็เจอคนเรียนเก่งและทำงานเก่ง ยอมรับอย่างว่าพวกนี้เรียนรู้เร็ว เพราะพื้นฐานดี ทำให้เข้าใจอะไรได้ง่าย เหมือนกันสมองพื้นฐานที่แน่นแล้ว เอาอะไรไปสร้างมันก็ง่าย

พวกเรียนไม่เก่ง พื้นฐานไม่ดี ก็จะต้องอธิบายกันนานหน่อยหรืออาจต้องให้มีการปฎิบัติมากหน่อยถึงจะทำได้ ซึ่งผมว่าไล่กันทันได้นะครับแต่อาจต้องทำใจว่าเราต้องเหนือยมากกว่าคนอื่นหน่อย ซึ่งผมก็จัดเป้นพวกนี้

อันต่อมา คือ ความรับผิดชอบ การเรียนในห้องเรียนมีอย่างหนึ่งที่ฝึกฝนโดยเราไม่รู้ตัวก็เช่น ความรับผิดชอบนั้นเอง การทำการบ้านส่ง ก็เป้นการฝึกความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบนั้นเป้นเรียนสำคัญมาก จะสำคัญยิ่งขึ้นตอนทำงานครับ คนมีความรับผิดชอบอย่างไรก็ได้งานดีกว่าคนไม่มีความรับผิดชอบ เด็กๆ อาจไม่สนใจ แต่ตอนผมทำงานแล้ว คำนี้ ใฃ้ชี้เป็นตายอาชีพการงานบางประเภทได้เลย หรือ ดูว่าใครไม่น่าคบได้ทันที ในวัยเด็ก อาจทำเล่นๆ ขำๆ ไม่สนใจ แต่กลายเป้นว่า ผมทำงานแล้ว ผมให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบมาก เพราะมันรวมถึง ศักดิ์ศรี หน้าทีการงาน และเงินทองต่อไปในอนาคตด้วย

กล่าวเป็นว่า ผมทำอาชีพอิสระนั้น อิสระต่อ คน เจ้านาย เวลา เพื่อนร่วมงาน สถานที่ ต้องไม่มีความอิสระต่อตนเอง ทำอย่างไรให้งานออกมาดีที่สุด ทำงานอิสระมาสักพัก ผมว่าช่วงมีงานมันโหดร้ายมาก สำหรับคนที่ฝีมือไม่ถึง ไม่มีคนแนะนำดีๆ และไม่มีความรับผิดชอบ ดังนั้นสิ่งที่นำมาใช้กำกับความรับผิดชอบนั้น คือเรื่องของ ระเบียบวินัย

ระเบียบวินัยเป็นตัวเสริมกับความรับผิดชอบ คนที่มีระเบียบวินัยดี ความรับผิดชอบจะได้ผลมาก

สิ่งเหล่านี้ที่เราได้จากโรงเรียนนอกเหนือจากการเรียนในห้อง มันมีเรียนอื่นๆ มาแทรกในระบบโดยที่เรามองไม่เห็น มันซึบซับโดนเราไม่รู้ตัว

อีกสิ่งที่อยากให้ทุกคนได้สังเกตุวิธีการสอนของอาจารย์แต่ละท่าน ว่า อาจารย์แต่ละคนเนี่ย มีวิธีถ่ายทอดความรู้ในนักเรียนอย่างไร และสิ่งสำคัญในนั้นคือ การเรียนรู้วิธีเรียนรู้

เมื่อก่อนผมเคยสงสัยว่าทำไมอาจาย์ที่สอนหุ้นผม จบหมอ แต่มันเก่งจังวะ หรือ เพื่อนผมจบหมอ แต่เขียนโปรแกรมเมอร์เก่งจัง หรือ อื่นๆพวกจบวิศวะแต่ทำงานการเงิน หรือวิเคราะห์เศณษฐกิจ สิ่งที่ผมได้คือ เค้าเรียนด้วยตัวเอง

หมอ พยาบาล ไรพวกเนี่ย เป้นคณะที่ได้ฝักงานตลอดเวลา ส่วนใหญ่จบมาทำงานได้เลย
อย่างหมอ เนี่ยเรียนหนัก ฝึกหนัก เรียนกัน 6ปี แถมมีสาขาอีก
เรียนหนักคือ อ่านหนังสือเล่มหนาเป็นทุกคืนๆ มีแต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้น ทำสรุปให้จำได้ อื่นๆ อีกมากมาย
ฝึกหนักคือ การใช้ความรู้มาฝึก ผ่าตัดบ้าง ลงเวร ทำรายงาน อีกมากมาย

เห็นได้ว่า วิธีเรียนรู้นั้น เป็นแบบที่ผมว่าดีที่สุดเพราะ เค้าได้เรียนและทำจริง

ส่วนพวกวิศวะได้การคิดเป็นระบบ วิธีเรียนเป็นระบบ ระบบอยู่ในหัวอยู่แล้ว การประยุกต์อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาเท่าไร เมื่อนำไปศึกษาอย่างอื่น

ดังนั้น ความคิดผมดันกลับหัวกันหมด เมื่ออายุ 27

เมื่อก่อนผมมองว่าการเรียนวิชาพวก สายสังคม นั้นง่ายกว่า สายมนุษย์ สายวิทยาศาตร์

ตอนนี้ทุกอย่างในหัวผมมันเปลียนไปหมดแล้ว
กลายเป็นวิชาสายวิทยาศาสตร์นั้นง่ายกว่า โดยเฉพาะพวกคณิตศาสตร์ ซึ่งมีกระดาษกับดินสอ คุณก็สามารถฝึกฝนได้ตลอดเวลา เพราะคำตอบมันอาจมีได้แค่คำตอบเดียวหรือไม่มากนัก

แต่พวกสายสังคม ได้ข้อมูลมาก็จริง แต่คุณลองให้ คนมาวิเคราะห์สิ รับรอง ไม่มีคำตอบเหมือนกันแน่ แถมยังไม่รู้อีกว่า คำตอบไหนมันถูก

ผมลองกลับไปคิดดูว่า เมื่อก่อน วิชาที่ลอกกันได้ คือ เลข จนอาจารย์บ้างคนบอก วิธีเรียนแบบลอก อาจได้ผลก็ได้ แต่ให้โจทย์มันเยอะๆหน่อย ลอกเยอะๆ เดียวมันก็จำได้เอง

ในทางตรงข้าม
ภาษาไทย ให้แต่งกลอนสุขภาพ หลอกกันไม่ได้หรอกครับ นอกจากให้เพือ่นช่วยแต่ให้ แถมแต่งมาเสร็จแล้ว ยิ่งเปรียบเทียบได้อีกว่าใครเพาะกว่ากันอีก

วิชาเศรษฐศาสตร์ที่ผมเรียน ส่วนใหญ่เค้าบอกการแสดงภาพด้วยกราฟนั้นยาก การคิดเลขคำนวณค่าต่างๆนั้นยาก คำตอบตอนสอบเขียนไรไปก็ได้ให้มันมีหลักการหน่อยก้โอเคละ

ผมจบมาสัก 6 ปี เริ่มเข้าใจแล้วว่า ที่อยากนั้นคือวิเคราะห์ให้ถูกที่สุด และทำให้คนอื่นยอมรับการวิเคราะห์ของเราว่าถูกที่สุด แม่งยากที่สุด ยากแบบพวกการคำนวณ การเขียนกราฟนั้นกลายเป้น ของเด็กเล่นไปเลย

ปํญหาอีกอย่างของวิชาแนวสังคมศาสตร์นั้น อาจจะหาที่ฝึกได้ยาก เพราะคงไม่มีใครให้นักศึกษาปรับอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางเล่นเพื่อดูว่่าผลเป็นอย่างไร คงไม่มีใครให้ทดลองไรแปลกๆ กับวิถีชีวิตมนุษย์เพื่อดูว่า มันจริงตามที่สอนรึปล่าว หรือคงไม่มีใครเปลี่ยนระบอบการปกครองเล่นๆ เพื่อพิสูจน์ว่า คอมมิวนิวมันดีกว่าประชาธิปไตยหรือไม่

วิชาเศรษฐศาสตร์จีงได้ทำการนำคณิตศาสตร์มาใช้เพื่อพิสูจน์แบบจำลอง เพื่อพิสูจน์สิ่งที่เกิดขึ้นโดยใช้สมมุติฐานเป้นตัวอ้างอิง

สรุปผมคิดว่า วิธีการเรียนนั้น มีระบบ แนวทางหลายแบบ และทุกระบบนั้นมีข้อดี ข้อผิดพลาดต่างกัน ขึ้นอยู่เราจะสามารถนำจุดดีแต่ละระบบมาใช้อย่างไร และผู้เรียนรู้ควรมี ความรับผิดชอบ วิธีการเรียนรู้ วิธีการฝึกฝน ระเบียวินัยที่ถูกต้อง นำไปสู่ความรู้ที่ได้มาเพื่อใช้กับชีวิตของแต่ละท่านเอง